วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557
การเคลื่อนที่ใน 2 มิติ
การเคลื่อนที่ใน 2 มิติ
การเคลื่อนที่ใน 2 มิติ
สูตร แนวราบ ความเร็วคงที่
s = vt
สูตร แนวดิ่ง มีความเร่ง g
v = u + gt
s =
t

s = ut +
gt2

v2 = u2 + 2gs
สูตรลัด
sราบ = 

smax = 

ขว้างไกลสุด
= 45 ํ

ขว้างให้ตกไกลเท่ากัน
= 90 ํ

sดิ่ง = 



สูตร ความเร็วลัพธ์
v2ลัพธ์ = u2ลัพธ์
2ghดิ่ง

สูตร การเคลื่อนที่แนววงกลม
วัตถุเคลื่อนที่ด้วย v คงที่
ac = 

วัตถุเคลื่อนที่ด้วย v ไม่คงที่
aลัพธ์ = 

F = 

Fc - แรงสู่ศูนย์กลาง
ac - ความเร่งสู่ศูนย์กลาง
v - ความเร็ว

สูตร การคำนวณแรงสู่ศูนย์กลาง
form 8 แบบ
1. วัตถุผูกเชือกแกว่งเป็นวงกลม
T = 

2. ดาวเทียมโคจรรอบโลก
mg = 

3. วัตถุผูกเชือกแกว่งเป็นรูปกรวย
tan
= 


4. วัตถุผูกเชือกแกว่งในระนาบดิ่ง
T1 + mg = 

T2 - mg = 

T3 = 

- mg cos
+ T4 = 


5. รถวิ่งเลี้ยวโค้งบนถนนราบ


6. มอเตอร์ไซค์เลี้ยวโค้ง
tan
= 


7. มุมที่ยกพื้นถนนขึ้นจากแนวดิ่ง
tan
= 


8. มอเตอร์ไซค์ไต่ถัง


สูตร อัตราเร็วเชิงมุม



w = ระยะทางเชิงมุม / เวลา = 

v = wR
w =
= 2
f


Fc = mw2R
v =
= 2
Rf



w - อัตราเร็วเชิงมุม
T - คาบ
f - ความถี่
R - รัศมี
การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี
การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี
การมีสุขภาพดีนับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่ทุกคนปรารถนา คำว่าสุขภาพดีในที่นี้หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ตั้งแต่เรื่องการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน การพักผ่อนที่เพียงพอ การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บันทอนสุขภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายมีความสดชื่น กระฉับกระเฉง พร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันคนไทยได้ หันมาให้ความสนใจ และเอาใจใส่ต่อสุขภาพกันมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกหลักโภชนาการ หรือการรวมกลุ่มกันเล่นกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ การออกกำลังกายให้ได้ผลดีนั้นจะต้องค่อย ๆ ทำ ต้องใช้เวลา และควรทำอย่างสม่ำเสมอด้วยวิธีการที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายเกิดพัฒนาการอย่างมีคุณภาพและมีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว สำหรับการออกกำลังกายที่ดีและถูกต้องนั้นต้องประกอบด้วย

การเตรียมพร้อมก่อนออกกำลังกาย ในการออกกำลังกายนั้นไม่ว่าท่านจะมีอายุอยู่ในช่วงวัยใด และไม่ว่าจะออกกำลังกายนานแค่ไหน หรือบางท่านยังไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย ท่านก็สามารถที่จะออกกำลังกายได้โดยเริ่มต้นจากวิธีง่าย ๆ คือ การออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวัน เช่น การเดินหรือขี่จักรยาน เมื่อไปยังสถานที่ที่ไม่ไกล หรือหยุดการใช้รถ แต่ใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่มีบ้านและที่ทำงานไม่ไกลจากกัน หรือใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน เป็นต้น ให้ท่านทำกิจวัตรเหล่านี้ทุกวันเป็นเวลา 1-2 เดือน จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น เดินให้เร็วขึ้น ขี้จักรยานให้นานขึ้น ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น ว่ายน้ำ เป็นต้น และในช่วงแรก ๆ ของออกกำลังกายไม่ควรหยุด ให้ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย หากเป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อน เพื่อช่วยกันประคับประคอง หรือท่านอาจจะให้คนในครอบครัวมามีส่วนร่วมด้วยก็จะดี
ท่านที่เริ่มต้นออกกำลังกาย ควรใช้วิธีเดินไม่ควรวิ่ง เนื่องจากการเดินจะทำให้ท่านไม่เหนื่อยมาก และยังสามารถลดน้ำหนักได้ด้วย นอกจากนี้อาการปวดข้อจะมีไม่มาก เหมาะสำหรับคนอ้วน หรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังกายสำหรับผู้ที่เตรียมร่างกายไว้พร้อมแล้ว เพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ทำให้เหนื่อย เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการเพิ่มความฟิตของร่างกายให้มากขึ้น
การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย หลังจากที่ท่านเตรียมความพร้อม และได้ออกกำลังกายจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้ว หากท่านต้องการเพิ่มความฟิตร่างกายก็สามารถกระทำได้ ทั้งนี้ท่านควรเลือกการออกกำลังกายที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับท่านที่มีอายุมากกว่า 45 ปี หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการเลือกวิธีการออกกำลังกาย
นอกจากนี้ในการออกกำลังกายไม่ควรหักโหมมากในครั้งแรก ๆ การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม และไม่ควรกลั้นหายใจหรือสูดลมหายใจอย่างแรง ควรหายใจเข้าและออกยาว ๆ เพื่อช่วยระบบการหายใจของร่างกาย และขณะออกกำลังกายท่านสามารถสังเกตอาการขณะออกกำลังกายว่าทำมากไปหรือไม่ โดยสังเกตจากอาการ ดังนี้
- หัวใจเต้นมากจนรู้สึกเหนื่อย
- หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
- เหนื่อยจนเป็นลม
หากมีอาการดังกล่าว ขอให้ท่านหยุดการออกกำลังกายสัก 2 วัน และเวลาออกกำลังกายในครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลง
การเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ท่านต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อน อาจใช้วิธีเดินภายในบ้าน รอบบ้าน หรือเดือนบนสายพาน ฯลฯ โดยปกติแล้วควรใช้เวลาในการอบอุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาที ซึ่งในกาทำความอบอุ่นร่างกายนี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น และหลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น เป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
การปฏิบัติตัวหลังการออกกำลังกาย หลังจากออกกำลังกายแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายในทันที โดยเฉพาะท่านที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน อาจทำให้เกิดอาการหน้ามือ ควรอบอุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาที จนกระทั่งชีพจรกลับคืนสู่สภาพปกติ และควรดื่มน้ำให้เพียงพอภายหลังออกกำลังกาย
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย ท่านที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
- ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันต่ำ มีภูมิต้านทานของร่างกายดีขึ้น และป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคข้อเสื่อม เป็นต้น
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การทรงตัว และทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น - ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยลดความเครียด และทำให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น
ดังนั้นหากทุกคนต้องการความแข็งแรงของร่างกายทุกส่วน ทุกอวัยวะ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ก็เพียงพอที่จะเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้อารมณ์ดี และยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย
ประโยชน์และสรรพคุณของขมิ้นชัน
ประโยชน์และสรรพคุณของขมิ้นชัน

อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่สรรพคุณขมิ้นชันจะเป็นรูปแบบของสรรพคุณอย่างง่ายๆที่ทุกคนหาอ่านได้ทั่วไปตามหนังสือ แต่ในรูปแบบที่เป็นการทดลองจากห้องทดลองยังไม่สามารถหาอ่านได้จากที่ไหน ผมเองจึงได้พยายามสรุปสรรพคุณของขมิ้นชันจากการทดลองทางวิทยาศาตร์มาให้ได้ลองอ่านกันดู โดยใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย เพื่อเป็นกันขยายและเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไปให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้้น
ประโยชน์และสรรพคุณขมิ้นชันที่ควรรู้ (สรุปจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์)
1. ต้านการเกิดแผลและสมานแผลในกระเพาะอาหาร
ขมิ้นชันมันมีสรรพคุณในการสมานแผล ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยเร่งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่เป็นแผล น้ำมันหอมระเหยของขมิ้นชัน นอกจากช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารแล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยการกระตุ้น mucin มาเคลือบกระเพาะอาหารและยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยชนิดต่างๆได้
2. ลดการอักเสบ
มีผลการทดลองว่า ผงแห้ง น้ำคั้นและสารสกัดชนิดต่างๆมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบในร่างกายทุกชนิด และสารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการอักเสบ คือ สารที่มีชื่อว่า curcumin และเมื่อนำไปเทียบเคียงกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยบรรเทาการอักเสบที่มีชื่อว่า ฟีนิลบิวทาโซน (ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ข้อ เช่น รูมาตอยด์ เป็นต้น) พบว่า มีฤทธิ์ใกล้เคียงกันในการรักษาอาการอักเสบแบบเฉียบพลัน แต่จะมีฤทธิ์เพียงครึ่งเดียวในการรักษาอาการอักเสบแบบเรื้อรัง
มีการทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยที่มีปัญหากระดูกและข้ออักเสบเรื้อรัง จำนวน 42 คน โดยใช้สมุนไพรที่มีส่วนประกอบของเหง้าขมิ้นพบว่า การได้รับสมุนไพรดังกล่าว สามารถลดความเจ็บปวดที่รุนแรงได้
3. ต้านการแพ้
ขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการต้านการแพ้ โดยการออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของสาร histamine ของร่างกายเมื่อมีอาการแพ้
4. ลดการบีบตัวของลำไส้
จากการทดลองทางคลินิกกับคนไข้จำนวน 440 คน อายุเฉลี่ย 48.5 ปี โดยการให้ทานขมิ้นชันทุกวัน วันละ 162 มิลลิกรัม พบว่า ขมิ้นชันมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ และยังช่วยในการขับลมและแก้อาเจียนด้วย
5. ลดอาการแน่นจุกเสียด
มีการทดลองในผู้ป่วยโรคท้องอืดท้องเฟ้อในโรงพยาบาล 6 แห่ง จำนวน 160 คน โดยรับประทานครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 4 ครั้ง พบว่าได้ผลดีกว่ายาขับลมและผู้ป่วยพอใจ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยของขมิ้นเป็นสารออกฤทธิ์ในการขับลม
6. ขับน้ำดี
ขมิ้นชันสามารถออกฤทธิ์เพิ่มการขับและกระตุ้นการสร้างน้ำดีได้ ซึ่งน้ำดีเป็นสารสำคัญในกระบวนการช่วยย่อยและดูดซึมอาหารของร่างกาย
7. รักษาอาการท้องเสีย
ตามตำรายาพื้นบ้านของไทย มีการใช้ขมิ้นรักษาอาการท้องเสีย โดยนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานหลังอาหารและก่อนนอน ครั้งละ 3-5 เม็ด วันละ 3 เวลา และในประเทศอินโดนีเซียก็มีการใช้ขมิ้นในการรักษาอาการอุจจาระร่วงเช่นกัน และขมิ้นชันขนาด 1000 มก./ครั้ง/วัน มีผลทำให้อาการท้องร่วงในลูกสุกรระยะดูดนมแม่หายไป
8. ต้านแบคทีเรีย
ทั้งสารสกัดขมิ้นชัน น้ำมันหอมระเหย สาร curcumin และอนุพันธ์มีฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรียชนิดต่างๆ เช่น
- แบคเรียที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- แบคทีเรียที่ทำให้เกิดเยื้อหุ้มฟันอักเสบ
- แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย
- แบคทีเรียก่อโรคในกุ้ง
- แบคทีเรียที่ให้เกิดหนอง
9. ต้านยีสต์และเชื้อรา
ทั้งสารสกัดขมิ้นชัน น้ำมันหอมระเหย สาร curcumin และอนุพันธ์ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่ายีสต์, เชื้อราชนิดต่างๆ เช่น
- เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง อย่างเช่น โรคกลาก
- ยีสต์ที่มีชื่อว่า Candida albicans ซึ่งเป็นเชื้อโรคฉวยโอกาสของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เบาหวาน เอดส์ เป็นต้น
10. ต้านปรสิต
สารสกัดจากขมิ้นสามารถที่จะฆ่าเชื้ออะมีบา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคบิดมีตัวได้
11. ป้องกันตับอักเสบ
ขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการป้องกันตับอักเสบ
- จากการทดลองในหนูขาวพบว่าขมิ้นชันสามารถป้องกันตับถูกทำลายจากใช้ยาพาราเซตามอล
- จากการทดลองในหนูขาวพบว่า สาร curcumin จากขมิ้นสามารถป้องกันตับจากการถูกทำลายด้วยเอทานอล โดยเอทานอลจะทำให้ตับทำงานหนัก และทำให้การทำหน้าที่และระดับของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดอนุมูล อิสระเพิ่มขึ้น แต่หลังจากที่หนูขาวได้รับสารสกัดขมิ้นชันร่วมกับการรับเอทานอลแล้ว ตับทำงานน้อยลง รวมถึงการทำหน้าที่และระดับของเอนไซม์ในตับลดลง (เอทานอลเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่ทานได้ ซึ่งเหล้าก็เป็นเอทานอลแบบหนึ่ง)
12. ต้านการกลายพันธุ์ (ต้านมะเร็ง)
ขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ ต้านสารก่อมะเร็งที่มีบทบาทสำคัญในโรคที่เกี่ยวกับเบาหวาน และโรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย
13. ต้านความเป็นพิษต่อยีน
ขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการป้องกันความเสียหายของ DNA และต้านความเป็นพิษต่อยีน
14. มีสรรพคุณสมานแผล
ผงขมิ้นที่นำมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนแผลพบว่า ช่วยเร่งให้แผลที่ไม่ติดเชื้อของกระต่ายและหนูขาวหายได้ 23.3 และ 24.2% ตามลำดับ และสามารถเร่งให้แผลติดเชื้อของหนูขาวหายได้ 26.2%
การทดลองทางคลินิค โดยทายาสมุนไพรซึ่งมีขมิ้นเป็นส่วนประกอบที่ผิวหนัง พบว่ามีฤทธิ์ในการสร้างเซลล์ผิวขึ้นใหม่ มีผู้ทดลองใช้สาร curcumin จากขมิ้นในการรักษาแผลหลังผ่าตัด 40 ราย พบว่าให้ผลลดการอักเสบได้เหมือนฟีนิลบิวทาโซน การทดลองใช้ขมิ้นหรือยาปฏิชีวนะ ในการรักษาแผลผุพองในผู้ป่วย 60 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ขมิ้น และกลุ่มที่ให้ยาปฏิชีวนะ แล้วติดตามดูแผลพุพองหลังการรักษา 21 วัน พบว่าผู้ป่วยทุกรายหายจากโรค และไม่พบภาวะแทรกซ้อนหรือข้อแตกต่างระหว่างการใช้ขมิ้นและยาปฏิชีวนะ
มีการนำสารสกัดของขมิ้น มาพัฒนาตำรับเป็นครีมป้ายปาก แล้วทำการทดลองเพื่อสังเกตฤทธิ์ในการสมานแผล โดยทำการทดลองในอาสาสมัคร 30 คน พบว่าครีมป้ายปากที่มีสารสกัดขมิ้นชัน 1% มีผลทำให้แผลในปากหายภายใน 1 สัปดาห์
วิธีการกำจัดสิวแบบเร่งด่วน
วิธีการกำจัดสิวแบบเร่งด่วน
วิธีการกำจัดสิวแบบเร่งด่วน
แต่เมื่อมีความจำเป็นที่คุณต้องการกำจัดสิวให้หายไปในเพียงชั่วข้ามคืน ลองใช้วิธีการต่อไปนี้เพื่อการกำจัดสิวได้อย่างรวดเร็ว
1 ยาสีฟัน
ในตัวยาสีฟันจะมีสารไทรโคลซาน (triclosan) มีคุณสมบัติเป็นสารยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเริ่มจากล้างหน้าก่อนนอนและเช็ดให้แห้ง(เบาๆ) ใช้ยาสีฟันสีขาวแต้มที่สิว หลังจากนั้น 30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด
ข้อแนะนำคือ ใช้เป็นแบบครีมตัวยาสีฟัน ไม่ควรใช้เป็นแบบเจลยาสีฟัน เพราะมักจะมีส่วนผสมอื่น ๆ ที่สามารถทำให้ผิวของคุณระคายเคืองได้
2 แพ็คน้ำแข็ง
โดยนำก้อนน้ำแข็งไปห่อในผ้าขนหนูนุ่ม แล้วนำไปวางบนสิวของคุณ มันจะช่วยลดการอักเสบบวมและอาการคันได้นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งในบริเวณอื่นๆของใบหน้าที่ไม่ได้เป็นสิว เพราะมันจะทำให้ผิวแห้ง
3 น้ำมะนาว
ใช้น้ำมะนาวแต้มที่สิวก่อนเข้านอน ในน้ำมะนาวประกอบด้วยวิตามินซี ซึ่งทำหน้าที่เป็นยาสมานแผล มันมีประสิทธิภาพช่วยในการทำให้สิวของคุณแห้ง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะนาวยังเป็นการทำดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายด้วยนะค่ะ
4 เบรคกิ้งโซดา
เบรคกิ้งโซดา ก็คือ ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตนั่นเอง ที่จะช่วยควบคุมระดับ pH ของผิว คุณสามารถใช้ผงฟูเพื่อผลัดผิวหน้าของคุณ โดยการนำผงฟูผสมกับน้ำ จากนั้นนำไปแต้มสิวบริเวณที่ติดเชื้อเท่านั้น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทิ้งไว้นานเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีผิวที่บอบบาง โดยผงฟูมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและยังช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วยนะค่ะ
5 ใช้อบเชยผสมน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นยาประจำบ้านที่ดีในการรักษาสิว มันช่วยให้ผิวของคุณสามารถเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ น้ำผึ้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นและช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเรานำน้ำผึ้งแต้มที่สิวที่มีการติดเชื้อและทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรืออีกวิธีคือ นำน้ำผึ้งมาผสมกับอบเชย จากนั้นพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากกลัวเปื้อนที่นอนสามารถใช้ผ้าบางรองไว้บนหมอน
6 มากส์หน้าด้วยไข่ขาว
ล้างหน้าและเช็ดหน้าของคุณให้สะอาด จากนั้นตอกไข่และแยกไข่แดงออก เพื่อแยกเอาเฉพาะไข่ขาว จากนั้นทาไข่ขาวบาง ๆ บนใบหน้าที่สะอาดและปล่อยให้แห้งประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง แล้วคุณจะเห็นถึงความแตกต่างว่า ผิวของคุณกระชับขึ้น
เคล็ดลับอื่น ๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดสิวชั่วข้ามคืน ที่ควรทำอย่างยิ่ง
- หยุดเอามือสัมผัสหน้า หรือเท้าคางเวลาคิด เพราะมือของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้สิวเห่อได้
- สวมเสื้อผ้าที่สะอาด หนึ่งนี้ควรจะเป็นสามัญสำนึก ผ้าเช็ดหน้าปลอกหมอนและของคุณยังตกอยู่ภายใต้นี้ สิ่งเหล่านี้มักจะอยู่ในการติดต่อกับใบหน้าของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามักจะทำความสะอาด
- ล้างหน้าให้สะอาด ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยสบู่อ่อนที่ไม่ระคายเคือง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู จำไว้ว่าไม่ควรล้างหน้าบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื่น โดยไม่ได้ช่วยป้องกันสิวแต่อย่างใด
- ออกกำลังกายและกินเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนดี มีออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้เต็มที่ และจะช่วยให้คุณมีผิวที่สวยงามขึ้นด้วย ควรให้เวลาที่เพียงพอสำหรับการออกกำลังกาย อย่างน้อย 3 ครั้ง /สัปดาห์
- กินเพื่อสุขภาพ การดูแลรักษาสุขภาพจะช่วยให้คุณมีผิวที่สวยงามขี้น ควรรับประทานผักและผลไม้จำพวกถั่วและเมล็ดธัญพืชในอาหารประจำวันของคุณ เพราะประกอบไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณของคุณให้สวยเปล่งปลั่ง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะขณะที่นอนหลับ เซลล์ผิวหนังจะฟื้นฟูสภาพตัวเองที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน
ลองเข้านอนให้เร็วขึ้นกว่าปกติ 1-2 ชั่วโมง หน้าตาจะสดใสขึ้นค่ะ
- จัดการความเครียด สาเหตุของการเป็นสิวที่พบบ่อยคือความเครียด ดังนั้นควรหาวิธีผ่อนคลาย เพราะจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวในร่างกายดีขึ้น
- ทำดีท็อกซ์ การเป็นสิวย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีท็อกซินหรือพิษสะสมในร่างกาย การทำดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษในร่างกายได้
- ปรึกษาแพทย์ของคุณ ในบางกรณีการเกิดสิวอาจจะรุนแรง หากใช้วิธีรักษาสิวด้วยตนเอง แล้วพบว่า อาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ทางออกที่ดีที่สุดคือไปพบแพทย์ทันที การรักษาอื่น ๆ อาจมีความจำเป็นเพื่อรักษาสิวบนใบหน้าของคุณ
แต่เมื่อมีความจำเป็นที่คุณต้องการกำจัดสิวให้หายไปในเพียงชั่วข้ามคืน ลองใช้วิธีการต่อไปนี้เพื่อการกำจัดสิวได้อย่างรวดเร็ว
1 ยาสีฟัน
ในตัวยาสีฟันจะมีสารไทรโคลซาน (triclosan) มีคุณสมบัติเป็นสารยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเริ่มจากล้างหน้าก่อนนอนและเช็ดให้แห้ง(เบาๆ) ใช้ยาสีฟันสีขาวแต้มที่สิว หลังจากนั้น 30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด
ข้อแนะนำคือ ใช้เป็นแบบครีมตัวยาสีฟัน ไม่ควรใช้เป็นแบบเจลยาสีฟัน เพราะมักจะมีส่วนผสมอื่น ๆ ที่สามารถทำให้ผิวของคุณระคายเคืองได้
2 แพ็คน้ำแข็ง
โดยนำก้อนน้ำแข็งไปห่อในผ้าขนหนูนุ่ม แล้วนำไปวางบนสิวของคุณ มันจะช่วยลดการอักเสบบวมและอาการคันได้นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งในบริเวณอื่นๆของใบหน้าที่ไม่ได้เป็นสิว เพราะมันจะทำให้ผิวแห้ง
3 น้ำมะนาว
ใช้น้ำมะนาวแต้มที่สิวก่อนเข้านอน ในน้ำมะนาวประกอบด้วยวิตามินซี ซึ่งทำหน้าที่เป็นยาสมานแผล มันมีประสิทธิภาพช่วยในการทำให้สิวของคุณแห้ง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะนาวยังเป็นการทำดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายด้วยนะค่ะ
4 เบรคกิ้งโซดา
เบรคกิ้งโซดา ก็คือ ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตนั่นเอง ที่จะช่วยควบคุมระดับ pH ของผิว คุณสามารถใช้ผงฟูเพื่อผลัดผิวหน้าของคุณ โดยการนำผงฟูผสมกับน้ำ จากนั้นนำไปแต้มสิวบริเวณที่ติดเชื้อเท่านั้น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทิ้งไว้นานเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีผิวที่บอบบาง โดยผงฟูมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและยังช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วยนะค่ะ
5 ใช้อบเชยผสมน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นยาประจำบ้านที่ดีในการรักษาสิว มันช่วยให้ผิวของคุณสามารถเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ น้ำผึ้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นและช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเรานำน้ำผึ้งแต้มที่สิวที่มีการติดเชื้อและทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรืออีกวิธีคือ นำน้ำผึ้งมาผสมกับอบเชย จากนั้นพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากกลัวเปื้อนที่นอนสามารถใช้ผ้าบางรองไว้บนหมอน
6 มากส์หน้าด้วยไข่ขาว
ล้างหน้าและเช็ดหน้าของคุณให้สะอาด จากนั้นตอกไข่และแยกไข่แดงออก เพื่อแยกเอาเฉพาะไข่ขาว จากนั้นทาไข่ขาวบาง ๆ บนใบหน้าที่สะอาดและปล่อยให้แห้งประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง แล้วคุณจะเห็นถึงความแตกต่างว่า ผิวของคุณกระชับขึ้น
เคล็ดลับอื่น ๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดสิวชั่วข้ามคืน ที่ควรทำอย่างยิ่ง
- หยุดเอามือสัมผัสหน้า หรือเท้าคางเวลาคิด เพราะมือของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้สิวเห่อได้
- สวมเสื้อผ้าที่สะอาด หนึ่งนี้ควรจะเป็นสามัญสำนึก ผ้าเช็ดหน้าปลอกหมอนและของคุณยังตกอยู่ภายใต้นี้ สิ่งเหล่านี้มักจะอยู่ในการติดต่อกับใบหน้าของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามักจะทำความสะอาด
- ล้างหน้าให้สะอาด ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยสบู่อ่อนที่ไม่ระคายเคือง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู จำไว้ว่าไม่ควรล้างหน้าบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื่น โดยไม่ได้ช่วยป้องกันสิวแต่อย่างใด
- ออกกำลังกายและกินเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนดี มีออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้เต็มที่ และจะช่วยให้คุณมีผิวที่สวยงามขึ้นด้วย ควรให้เวลาที่เพียงพอสำหรับการออกกำลังกาย อย่างน้อย 3 ครั้ง /สัปดาห์
- กินเพื่อสุขภาพ การดูแลรักษาสุขภาพจะช่วยให้คุณมีผิวที่สวยงามขี้น ควรรับประทานผักและผลไม้จำพวกถั่วและเมล็ดธัญพืชในอาหารประจำวันของคุณ เพราะประกอบไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณของคุณให้สวยเปล่งปลั่ง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะขณะที่นอนหลับ เซลล์ผิวหนังจะฟื้นฟูสภาพตัวเองที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน
ลองเข้านอนให้เร็วขึ้นกว่าปกติ 1-2 ชั่วโมง หน้าตาจะสดใสขึ้นค่ะ
- จัดการความเครียด สาเหตุของการเป็นสิวที่พบบ่อยคือความเครียด ดังนั้นควรหาวิธีผ่อนคลาย เพราะจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวในร่างกายดีขึ้น
- ทำดีท็อกซ์ การเป็นสิวย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีท็อกซินหรือพิษสะสมในร่างกาย การทำดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษในร่างกายได้
- ปรึกษาแพทย์ของคุณ ในบางกรณีการเกิดสิวอาจจะรุนแรง หากใช้วิธีรักษาสิวด้วยตนเอง แล้วพบว่า อาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ทางออกที่ดีที่สุดคือไปพบแพทย์ทันที การรักษาอื่น ๆ อาจมีความจำเป็นเพื่อรักษาสิวบนใบหน้าของคุณ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)